Khione's story

Feel lonely ? Feel bored? Feel blue? It's time to read!!

7/5/54

Four Years ago... The second broken heart..

สี่ปีที่แล้ว
ผมกำลังเข้าพิธีจบการศึกษา เด็กผู้หญิงคนเดิม เดินมาหาผมในมือเธอมีสติ๊กเกอร์รูปหัวใจสีเหลืองติดมือมา และเธอก็ได้ติดเอาไว้บนเสื้อของผม หลังจากนั้น เราสองคนตกลงกลับมาคบกันอีกครั้ง ตอนนั้นดีใจมากกกกกก แล้วตั้งใจว่าครั้งนี้ผมจะไม่ยอมเสียเธอไปอีกแล้ว จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดและการคบกันครั้งนี้เป็นครั้งที่มีความสุขที่สุด ครั้งแรกที่เรานัดเจอกัน คือที่ IT city แฮปปี้แลนด์ ครั้งแรกที่ผมเห็นเธอ เธอน่ารักมากจริงๆ ดีใจจนบอกไม่ถูก เราได้นั่งคุยเรื่องต่างๆ นั่งฟังเพลงด้วยกัน ตอนนั้นสำหรับผม การได้นั่งข้างๆเธออีกครั้งมันก็เป็นสิ่งที่ผมดีใจที่สุดแล้ว หลังจากนั้นเราได้ไปดูหนังด้วยกัน เรื่องแรกที่ไปดูด้วยกัน คือหนังเกาหลี เรื่อง ถึงจะบ้า ก็บ้าร๊ากก หนังไม่สนุกเลย แต่ การได้นั่งข้างเธออีกครั้งมันเป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้อีก หลังจากนั้นทุกวันเราก็จะคุยโทรศัพท์กัน เล่น MSN เล่นเวปแคมกัน พอถึงวันหยุดก็จะออกไปข้างนอกด้วยกัน มีอยู่ครั้งนึงเคยโดนเธอบังคับให้ดูหนังผีเรื่องแฝด กลัวจะตาย แต่ก็ตลกนะ คนชวนก็ทำเป็นกล้า แต่ก็ปิดตาทั้งเรื่องเหมือนกันล่ะว้า ฮ่าๆ มีอยู่ครั้งนึงไปร้านหนังสือด้วยกัน มีการเอาหนังสือรูปกบมาวิ่งไล่ เฮ้ออ ไอ้บ๊อง การคบกันครั้งนี้ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น เธอให้แหวนผมมาวงนึง บนนั้นสลักชื่อเราสองคน ถึงมันจะหลวมไปหน่อย แต่มันถือเป็นสมบัติชิ้นสำคัญของผม หลังจากนั้นก็เลยเปิดตัวเธอให้ครอบครัวผมได้รู้จัก วันแรกเธอมาเป่าตูดแมวเล่นที่บ้านแม่คุ๊ณ !! วันนั้น แม่ผมหยอกเธอว่า เลิกกับผมเหอะ หยั่งหนูหาดีกว่านี้ได้เยอะ!! โอยยยแม่คุ๊ณ!! แล้วหลังจากนั้นดูเธอจะเข้ากับครอบครัวผมได้ดี(มาก) เข้ากับน้องสาวผมได้อย่างดี(ถล่มผมซะเละ) ตอนนั้นเราคุยกันเรื่อง พรหมลิขิต และเนื้อคู่ เธอถามผมว่าเชื่อมั้ยตอนนั้นผมก็ยังไม่เชื่อหรอกนะ รู้เพียงแต่ว่า ผมอยากให้เธอเป็นเนื้อคู่ผมจริงๆเลย แต่แล้วอะไรๆก็ไม่ได้สวยงามไปซะหมด ผมเองต้องไปเรียนที่ต่างจังหวัด  ไกลมากซะด้วย การที่เราจะได้เจอกันทุกวันมันคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว หลังจากไปถึง ไม่ได้คิดถึงบ้านเลยคิดถึงแต่เธอคนเดียว ทุกๆคืนจะมีคนเห็นเฟรชชี่คนนึง ปีนขอบหน้าต่าง คุยโทรศัพท์อยู่ เนื่องจากว่าในหอพักไม่มีสัญญาณหลังจากนั้น ทุกคืนผมต้องไปซ้อมการแสดง ดาวเดือน กว่าจะเลิกก็ประมาณตีสาม ทำให้เวลาระหว่างเราน้อยลง แต่แล้วช่วงปลายปีก็มีเริ่องบางเรื่องทำให้เราต้องเข้าใจผิดกันจนได้ มีผู้หญิงคนนึงซึ่งเป็นสายรหัสผมนี่แหละ เข้ามาคุยกับผม พยายามมาตีสนิท ถามว่าผมสนใจมั้ย? ถ้าผมไม่มีใคร ผมก็อาจจะสนใจล่ะมั้ง แต่เรื่องของผู้หญิงคนนี้ไม่จบเพียงเท่านั้น แฟนของผู้หญิงคนนี้โทรมาหาผม ซึ่งผู้ชายคนนี้ก็คือเพื่อนเก่าผมเอง รวมถึงแฟนใหม่ของผู้หญิงคนนี้ ก็คือเพื่อนผมอีกด้วย!!  เรื่องหลังจากนี้ รู้กันอยู่แก่ใจนะครับ ขอแสดงความเสียใจกับผู้หญิงคนนี้ด้วยละกัน แล้วก็ขอแสดงความยินดี กับผู้ชายทั้งสองคนด้วยนะครับ แต่เรื่องที่เสียใจที่สุด เกิดขึ้นกับตัวผมครับ เธอเกิดเข้าไปเห็นบทสนทนาของผม กับ ผู้หญฺงคนนี้เข้า แล้วเกิดเข้าใจว่า ผมไปคบกับผู้หญิงคนนี้ซะอย่างนั้น เรื่องทั้งหมดเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที ผมเองก็ฉุน ที่ทำไมไม่เข้าใจผม ทั้งๆที่อธิบายแล้ว แต่ผมก็ลืม นึกถึงความรู้สึกของเธอไปสุดท้าย ก็มี sms จากเธอมาว่า  ขอบคุณที่สอนให้รู้อะไรหลายๆอย่าง  ตอนนั้น น้ำหนักลด กินข้าวไม่ได้ไปเป็นอาทิตย์ๆ ไม่ได้ไปเรียนอีกตะหาก  สุดท้ายวันหยุดเลยกลับมากรุงเทพ พอดีเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ เลยเตรียมแผนการขอคืนดีไว้  ทำของขวัญทำมือด้วยตัวเอง รอคืนวันปีใหม่จะโทรไปเค้าท์ดาวน์ด้วยกัน แต่เธอไม่รับ รวมส่งข้อความกลับมาว่า มีเธอมีคนที่เธอรักแล้ว” ….น้ำตามันก็เลยไหลลงมา หลังจากนั้น ซักครู่ ก็มี คนที่ผมเคยเรียกว่าเพื่อน โทรเข้ามา แต่ตอนนั้นผมกำลังร้องไห้ เลยไม่ได้รับ หลังจากนั้น ก็มีข้อความจากมันมาว่า เธอกับมันกำลังคบกันอยู่ ให้ผมเลิกยุ่งได้แล้ว ซึ่ง มันกับเธอ คบกันมาตั้งแต่เดือนมิถุนาแล้ว …. คราวนี้ น้ำตาไม่ไหลแล้วครับ หยุดไหล แต่แต่อึ้ง นี่หรอ คนที่เราเคยเรียกว่าเพื่อน คนที่เรารักหมดหัวใจ เดือนมิถุนามันพึ่งเป็นเดือนที่สอง ที่ผมขึ้นไปเรียนที่เชียงราย เองนะ นี่คบกันมานาน คบกันมาก่อนที่ผมจะเลิกกับเธออีกหรอ….?        

Eight years ago... The Beginning of my Love

แปดปีที่แล้ว...

มีเด็กผู้หญิงคนนึง เป็นรุ่นน้องผมหนึ่งปี ผมเจอเธอครั้งแรก... ก็ตอนเข้าค่ายของทางโรงเรียน ตอนนั้นเห็นเธอครั้งแรก ถามว่า ชอบมั้ย? สนใจมั้ย? ... ก็ชอบนะ แต่ว่า เธอดูเหมือนเป็นสิ่งที่สูงเกินกว่าที่ผมจะสามารถแตะต้องได้ยังไงก็ไม่รู้สิ คนชอบเธอเยอะมากก ในขนาดที่ผมหรอหรอ....ฮ่าๆๆๆ TwT   แต่แล้ว... มีอยู่วันนึง เพื่อนผมบางคนบอกว่า ดูเหมือนเค้าจะสนใจผมอยู่บ้างเหมือนกัน ถามว่า ได้ยังไง....ผมบอกได้เลยเลยว่า ไม่รู้!! อึ้งมั้ยอึ้งสิ แต่หลังจากนั้นก็รีบแอดเมล์ไป ลองทัก ทำความรู้จัก ตอนเจอกันที่โรงเรียนก็ลองแอบมองอยู่บ่อยๆ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่า คนอะไร...น่ารักชะมัด!! ทุกครั้งที่เราได้คุยกัน ก็เลยลองแอบเลียบๆเคียงๆถามดู ว่าจะจริงแบบที่เพื่อนๆบอกมั้ย จนมีอยู่ครั้งนึง ได้คุย MSN กัน เลยบอกกับเธอตามตรงเลย ว่าชอบ ถามว่ากลัวมั้ยกลัวนะ แต่คำตอบที่เธอตอบกลับมามันทำให้ ผมยิ้มเหมือนเป็นบ้า แฟนคนแรก ความรักครั้งแรก ตอนนั้น อาจจะเพราะยังเด็กล่ะมั้ง แต่ถ้าถามว่ารู้สึกยังไง….อึ้งๆ งงๆ ว่า นี่เรามีแฟนแล้วหรอ น่ารักขนาดนี้ด้วย แล้วมันจะเป็นยังไงต่อล่ะ? จากที่ไม่เคยโทรหาใคร ก็มีอยู่เบอร์นึง ที่จำจนขึ้นใจและต้องกดไปหาทุกวันๆ จากไม่เคยออน MSN ก็กลับมาออนทุกวัน จากไม่เคยไปโรงเรียนเช้า ก็ต้องรีบไปทุกวัน ทุกวันตอนเช้าเราจะไปนั่งอยู่ใต้ตึกเรียน นั่งคุยกัน ยิ้มให้กัน สำหรับผมแล้ว เวลาแค่ 15 นาทีในตอนนั้น ถึงบางครั้งผมไม่รู้ว่าจะชวนคุยัยไงดี พูดอะไรดี แต่มันก็เป็นเวลาที่มีความสุขที่สุดของผม มีอยู่ครั้งนึง เราเคยไปแข่งจรวดขวดน้ำด้วยกัน ตอนขากลับ โรงเรียนเราจ้างรถเมล์มารับ เธอนั่งอยู่ข้างหน้าผมหนึ่งเบาะ ผมนั่งอยู่ข้างหลังเธอ วันนั้น ผมยื่นมาไปแกล้งแหย่เธอ แต่เธอยื่นมือมา ผ่านซอกแคบๆข้างเบาะ เพื่อจับมือผมไว้ วันนั้นเป็นวันที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมโชคดีจริงๆที่ได้มาคบกับเธอ  แต่การคบกันตอนนั้นมันก็ไม่ได้สวยงามไปซะหมด คนรอบข้างเริ่มมอง และเริ่มเข้ามาวุ่นวายกันมากขึ้น การพบกันของเราบางครั้งเลยมีอุปสรรคบ้าง ตอนนั้นอยากจะอยู่ใกล้ๆ อยากจะอยู่เคียงข้างตลอด แต่ก็เป็นที่จับตาของทุกคน ทุกครั้งที่เราสองคนอยู่ใกล้กัน ถามว่าอึดอัดมั้ยมาก!! เกลียดเพื่อนของตัวเอง เกลียดเพื่อนของเธอ ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่เสียงนินทา ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีแต่คนคอยยุยง กล่าวหา เสียๆหายๆ ผมสงสารเธอมาก  ทุกๆวันสำคัญเธอเอาของขวัญมาให้ผม แต่ผมกลับไม่เคยให้อะไรเธอเลย จนสุดท้าย มีอยู่วันนึง เธอก็เลยขอเลิกกับผม  ถามว่าเจ็บปวดมั้ย มากๆ ไม่ใช่เพราะเธอขอเลิก แต่เพราะเกลียดตัวผมเองที่ทำให้เธอต้องเสียใจ….

หลังจากนั้นมา ก็มีหลายๆคนเข้ามา แต่ผมเองก็ไม่คิดที่จะคบกับใคร ถามว่ายังลืมเธอไม่ได้หรอก็อาจจะใช่ หลายๆคืนที่ยังฝันถึงเธอ หลายๆครั้งที่ตื่นขึ้นมาร้องไห้ เวลาเจอเธอที่โรงเรียนก็รู้สึกเจ็บทุกครั้ง ไม่อยากเห็น ไม่อยากเจอ เวลาเจอกัน ต้องรีบเดินผ่านให้เร็วที่สุด คิดถึงทุกอย่าง คิดถึงตอนที่เราได้อยู่ด้วยกัน คิดถึงกอดครั้งแรกของผม คิดถึงกลิ่นหอมๆจากตัวเธอ เป็นเวลาสามปีที่ผมรู้สึกแบบนี้

12/4/54

It was so good...If we have more time.




ชายหญิงคู่หนึ่ง กำลังมีความรักให้กันอย่างสุดซึ้ง ในทุกๆ วันก่อนจะหลับตานอน ทั้งคู่จะนึกถึงกันทุกครั้ง และขอให้อีกฝ่ายฝันดี วันเวลาผ่านไป ความรักของทั้งคู่ก็ไม่เคยน้อยลง กับเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั้งวันหนึ่งฝ่ายชายได้ยื่นแหวนเพื่อขอแต่งงานกับฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงรู้สึกดีใจมากจนพูดอะไรไม่ออก เธอตอบตกลง สองคนได้แต่งงานกันตามความปรารถนา

   

      หลังจากแต่งงานได้ปีกว่า ฝ่ายหญิงเริ่มมีพฤติกรรมแปลกออกไปจากเดิม เธอเริ่มไม่ค่อยทำงานบ้านและไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่บ้านสักเท่าไหร่ ในช่วงวันหยุดเธอก็จะออกจากบ้านไปโดยไม่เอ่ยสักคำว่าจะไปที่ไหน จนทำให้ฝ่ายชายเริ่มไม่สบายใจ เขาคิดอยู่เสมอว่าตัวเองได้ทำผิดอะไรไปบ้างไหม แต่เขาไม่เคยคิดโกรธภรรยาของเขาเลย ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เขาเริ่มเอาใจภรรยามากขึ้นไปกว่าเดิม เขาทำงานทุกอย่างในบ้านโดยไม่ปริปากบ่น ทำให้ฝ่ายหญิงรู้สึกถึงความรักที่สามีของตนมีต่อตัวเองได้อย่างหน้ามหัศจรรย์ ฝ่ายชายพยายามทุกอย่างเพื่อให้ฝ่ายหญิงพึงพอใจและมีความสุขมากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขาได้ซื้อที่ดินด้านหลังบ้านต่อออกไปเพื่อทำเป็นสวนปลูกดอกไม้ที่ภรรยาชอบ ทุกๆ อย่างที่เขารู้ว่าภรรยาสนใจ เขาจะหามาให้โดยไม่มีบ่ายเบี่ยง แต่ภรรยาของเขา กลับไม่เปลี่ยนพฤติกรรมใดๆ เลย

   

      อยู่มาวันหนึ่งเมื่อภรรยากำลังจะเดินออกจากบ้าน เธอได้เหลียวไปเห็นสามีนอนฟุบอยู่ในสวน เธอวิ่งมาหาเขา สักพักรถพยาบาลที่เธอเรียกก็มา เธอกุมมือสามีไว้แน่น สักพักสามีเธอก็ลืมตาขึ้น หันมามองภรรยาอย่างห่วงใย และเริ่มเอ่ยกับภรรยาว่า

   

      ที่รักผมรักคุณ ผมรู้ดีว่าผมอาจมีเวลาอีกไม่นาน ที่เราสองคนจะได้เห็นกันและกันในยามมีชีวิตอยู่ แต่ผมอยากบอกคุณว่า ผมรักคุณมาก อยากอยู่กับคุณ อยากคอยดูแลคุณ อยากทำทุกอย่างให้คุณมีความสุข ถ้าผมมีเวลามากกว่านี้ก็คงดี ผมคงได้ทำทุกอย่างที่ผมอยากทำให้กับคุณ แต่เวลาของผมคงเหลือน้อยลงไปทุกทีแล้ว เท่าที่ผมทำได้ในตอนนี้ คือผมอยากบอกรักคุณจนลมหายใจสุดท้าย ที่รัก ผมอยากใส่เสื้อตัวโปรดที่คุณซื้อให้ ในวันที่ผมหมดลมหายใจ คุณทำให้ผมได้ไหม น้ำตาภรรยาเอ่อล้นออกมาจนกลั้นไม่อยู่ เธอเอ่ยเพียงคำสั้นๆ เพื่อบอกกับสามีไปว่า ฉันรักคุณ ฉันจะรักคุณตลอดไป แล้วสามีเธอก็สลบไปอีกครั้ง

   

      สองวันต่อมา ฝ่ายชายได้สติ ลืมตาขึ้นในห้องพักผู้ป่วย เขาดีใจมากที่เขาได้มีชีวิตอยู่ต่อและยังคงได้เห็นหน้าภรรยาของเขาอีกครั้ง เขามองออกไปรอบห้อง แต่ไม่พบใคร เวลาผ่านไปราว 2 อาทิตย์ ทั้งญาติและเพื่อนๆ มาเยี่ยมเขาอย่างไม่ขาดสาย ยกเว้นภรรยาของเขา ซึ่งไม่ว่าจะถามใครๆ ก็ไม่เคยได้คำตอบเลยสักครั้ง หลังจากที่เขาเริ่มแข็งแรงมากแล้ว ก็ถึงเวลาได้กลับบ้าน เขารีบออกจากโรงพยาบาลเพื่อที่จะได้ไปพบภรรยาและถามไถ่ให้รู้เรื่องราว เมื่อกลับมาถึงหน้าบ้าน ประตูโดนล็อกอยู่ด้านนอก เขาเสียใจมาก และเริ่มรู้สึกโกรธภรรยาขึ้นมาทันที บนห้องนอนไม่มีแม้แต่ร่องรอยการปัดกวาดเช็ดถู ฝ่ายชายรู้สึกโกรธขึ้นมากกว่าเดิม เขาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า และหยิบเสื้อตัวโปรดออกมาจากตู้ ในกระเป๋าเสื้อนั้นมีกระดาษอยู่สองแผ่นพับไว้ เขาเริ่มรู้สึกแปลกใจ จึงรีบเปิดอ่านดู

   

      ที่รักค่ะ เมื่อคุณเปิดกระดาษใบนี้อ่าน หวังว่าคุณคงหายดีแล้ว และคุณคงพร้อมที่จะยอมรับความจริงได้ ที่รักค่ะ คุณทำอะไรชอบมีพิรุธ ฉันเห็นคุณชอบหยิบเสื้อตัวโปรดมาลูบแถวๆกระเป๋าเสื้อ ฉันจึงแอบดูบ้างว่ามันมีอะไร ตอนแรกฉันคิดว่าคงเป็นเงินที่คุณแอบเอาไว้ แต่มันคือกระดาษใบนั้น ใบที่ทำให้ฉันได้รู้ความเป็นจริง ว่าคุณรักฉันมากกว่าที่ฉันคิดมากแค่ไหน ยิ่งโดยเฉพาะข้อความนี้ “วันนี้ผมไปตรวจร่างกายว่าพร้อมจะมีลูกกับคุณได้ไหม แต่หมอกลับทำเอาผมผิดหวังอย่างแรง เมื่อรู้ผลตรวจว่า ผมเป็นโรคหัวใจขั้นรุนแรงและต้องเปลี่ยนหัวใจแต่ต้องรอคนมาบริจาคเท่านั้น คนแรกที่ผมนึกถึงคือคุณ ผมกลัวขึ้นมาจับใจ ว่าอาจมีสักวันที่ผมหลับไปและไม่มีวันตื่นขึ้นมาเจอหน้าคุณอีก ผมอดห่วงคุณไม่ไหว และผมก็ได้สัญญากับตัวเองไว้ว่าผมจะทำทุกอย่างเพื่อคุณตราบเท่าที่ผมยังมีลมหายใจ” พออ่านมาถึงตรงนี้ทีไรกระดาษใบนี้ก็ถึงกับเปียกไปด้วยน้ำตาทุกครั้ง แต่มันทำให้ฉันอยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป แต่ไม่ไช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคุณ

   

      ที่รัก ฉันมีอะไรอยากบอกคุณบ้าง 14 ก.พ. 1 ปีกับอีก 60 วัน ที่เราได้แต่งงานกันมา วันนั้นฉันนัดคุณหมอไว้เพื่อไปตรวจร่างกายก่อนการมีบุตร แล้วคุณหมอก็แจ้งให้ฉันทราบว่า ฉันเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ต้องทำการรักษาโดยทันที แต่ฉันขอเลือกที่จะเก็บเวลาไว้เพื่อที่จะอยู่กับคุณ ในทุกวันที่ผ่านไปร่างกายก็เริ่มอ่อนแอ หมดเรี่ยวหมดแรง ทุกๆ วันเสาร์อาทิตย์หมอคอยนัดให้ไปตรวจและให้น้ำเกลือ ฉันแทบไม่อยากมีลมหายใจต่อไป แต่ฉันก็ไม่กล้าที่จะบอกคุณ เพราะกลัวคุณจะเสียใจ จนกระทั้งฉันได้เจอกระดาษใบนั้น มันทำให้ฉันมีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อไป ถึงแม้มันจะเจ็บปวดและทรมานมากแค่ไหน เมื่อฉันคิดถึงคุณ ฉันก็จะมั่นใจที่จะอดทนเพื่อคนที่ฉันรัก จนกว่าวันนั้นจะมาถึง ฉันแข็งแรงพอไหมค่ะ ก่อนจบฉันขอใช้ข้อความจากกระดาษใบนั้นของคุณเป็นประโยคสุดท้ายในกระดาษใบนี้

   

      “ไม่ว่าในยามมีชีวิตหรือในยามหมดลมหายใจ ไม่ว่าในยามสุขหรือในยามทุกข์ ความรักจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง คุณต้องมีชีวิตต่อไป เพื่อมองโลกกว้างๆ แทนกัน เพื่อรักษาหัวใจอีกดวงที่ยังคงอยู่กับคุณตราบนิรันดร์ รักคุณที่สุดในชีวิต”

   

      กระดาษใบที่สองที่พับอยู่ร่วมกัน เป็นกระดาษซีล็อก มีข้อความสั้นๆ ว่า
      ขออุทิศอวัยวะ หัวใจ ให้แก่ นายประชา แซ่ดิ 
   


      ความรักสำหรับผู้ชายคือความห่วงใยแม้ยามมีชีวิตอยู่หรือยามไม่มีชีวิตแล้ว
      แต่ความรักสำหรับผู้หญิง คือการให้ทั้งหัวใจและร่างกายแด่คนที่เธอรัก



4/4/54

A Boy & an Apple Tree

เคยมั้ยครับ... ที่เราทำอะไรให้แก่คนที่เรารัก โดยไม่คำนึงว่าเราจะเหนื่อยแค่ไหน บางอย่างเราอาจจะทำให้ไม่ได้ แต่ก็ยังพยายามทำให้ได้มากที่สุด โดยที่หวังแค่ว่าอยากให้คนที่เรารักดีใจ และมีความสุข แม้ว่าเค้าอาจจะไม่เคยคิดจะหันกลับมามองเราเลยก็ตาม...

มีงานเขียนอยู่เรื่องนึงครับ(อีกแล้ว!!) ไม่ทราบนามผู้แต่งนะครับ (อีกแล้ว!!) ซึ่งเขียนออกมาและให้ข้อคิดดีๆแก่เรา ผมขออนุญาตินำมาลงนะครับ

...............................................................


เด็กชายคนหนึ่ง...วิ่งเล่นรอบๆต้นแอปเปิ้ล...อย่างสนุกสนาน...ทุกวัน...
ทั้งสอนสนิทสนมกันมาก...
หมายถึงเด็กกับต้นแอปเปิ้ล

เวลาเด็กเหงา...ก็ปีนขึ้นต้นแอปเปิ้ลเล่น
เวลาหิว...ก็เก็บผลไม้แอปเปิ้ลกิน...
พอง่วงนอน...ก็นอนที่รากต้นแอปเปิ้ล
ต้นแอปเปิ้ล...รักและเป็นห่วงเด็กคนนี้เหลือเกิน

แล้ววันหนึ่ง...เด็กผู้นี้...ก็ต้องจากไป
ต้นแอปเปิ้ล...ร้องไห้...คิดถึงเด็ก
เมื่อไหรหนอ...จะได้พบกันอีก

วันเวลาผ่านไป...เนิ่นนาน...เงียบเหงา
อยู่มาวันหนึ่งเด็กคนเดิม...ก็โผล่หน้ามา...
แต่ตอนนี้เขาโตมากแล้ว...
ต้นแอปเปิ้ลดีใจ...ติ่นเต้น...มีความสุข
ตอนนี้...เธอจะกลับมาอยู่กับเราแล้วใช่ไหม...?
กลับมาเล่น...กับเรา...เหมือนเดิม...ใช่ไหม...?
ไม่หรอก...ตอนนี้ฉันโตแล้ว...
ฉันไม่อยากเล่นกับต้นไม้แล้ว...

แต่ฉันอยากเล่น...คอมพิวเตอร์
โอ...ตายจริง...ฉันไม่มีคอมพิวเตอร์ให้เธอเล่นหรอก...
แต่ถ้าเธออยากได้จริงๆ...ฉันจะช่วย...
เธอเก็บผลแอปเปิ้ลบนต้นฉันไปขายสิ...
แล้วเอาเงินไปซื้อ...คอมพิวเตอร์...

เด็ก...ดีใจมาก...รีบปีนขึ้นต้นแอปเปิ้ล...
เก็บลูกแอปเปิ้ลทุกลูก...ที่มีบนต้น...
ไปขายในตลาด...ด้วยความดีใจ...

ต้นแอปเปิ้ลเห็นเด็กมีความสุขก็พลอยดีใจ...
เด็กได้คอมพิวเตอร์แล้ว...ก็หายหน้าไป...
ต้นแอปเปิ้ล...แอบร้องไห้...คิดถึงเด็ก...

หลายปีต่อมา...เด็กกลับมาอีกครั้ง...
คราวนี้...เขาโตเป็นผู้ใหญ่...กลับมาพร้อมกับครอบครัว...
ต้นไม้เห็นเข้า...ก็ดีใจ...แสดงความยินดี...
ที่เด็กมีครอบครัวมีความสุข...

เธอจะพาครอบครัวมาอยู่กับเราใช่ไหม...?
ไม่ใช่หรอกจ้ะ...
อ้าวทำไมล่ะ...?
เรามีครอบครัวแล้วแต่ไม่มีบ้านอยู่...
อยากได้บ้านสักหลังหนึ่ง...อยู่ในเมือง...

เราไม่มีบ้านให้เธอหรอก...แต่ฉันรักเธอ
ถ้าเธออยากได้บ้านจริงๆ...
เธอก็ตัดกิ่ง...ของเราไปซิ...
เอาไปปลูกบ้าน...
เด็กดีใจ...รีบตัดกิ่งไม้หมดทั้งต้น...
แล้วเอาไปปลูกบ้านอยู่ในตัวเมือง...อย่างมีความสุข
ต้นไม้...เห็นคนที่ตัวเองรักมีความสุข...ก็ยิ้มทั้งน้ำตา...
พลอยมีความสุข...กับครอบครัวเขาไปด้วย...

เด็กกลับมาอีกที...เมื่อายุมากขึ้น...เข้าสู้วัยกลางคน...
ต้นไม้ดีใจ...ยิ้มรับอย่างมีความสุข...
ตอนนี้...เธอจะมาอยู่กับเราแล้วใช่ไหม...?
เบื่อครอบครัวแล้วใช่ไหม...?

เราเบื่อครอบครัวแล้ว...จริงๆ...
แต่เราไม่อยู่กับท่านหรอก...
ตอนนี้เราเหนื่อย...เราเครียด...เราทุกข์...
เราอยากได้เรือสักลำหนึ่ง...เพื่ออกไปท่องเที่ยวในทะเล...
ให้สบายใจสักหน่อย...

เราไม่มีหรือให้เธอหรอก...
แต่ถ้าเธออยากได้จริงๆ...
ก็ตัดต้นของเราไปสิ...เอาไปขุดเรือ...
เด็กได้ฟังก็ดีใจ...
รีบตัดต้นไม้แล้วขุดเป็นเรือ...
ออกเที่ยวทะเล...อย่างมีความสุข...
ปล่อยทิ้งตอไม้...ให้ร้องไห้เสียใจ...อย่างเดียวดาย...
เวลาผ่านไป...นานหลายปี...

เด็กแก่มากแล้ว...เดินกลับมาที่ต้นไม้ต้นเดิม...
ต้นไม้...พอเห็นคนแก่...ก็ร้องไห้จนน้ำตานอง...

เธอมาหาฉันตอนนี้...ฉันไม่มีอะไรให้เธออีกแล้ว...
ไม่มีลูกแอปเปิ้ล...ให้เธอกิน...
ไม่มีกิ่ง...ให้เธอไต่เล่น...
ไม่มีร่มเงา...ให้เธอนอนพัก...
ไม่มีต้นไม้...ให้เธอทำเรือ...

เราเหลือเฉพาะราก...ที่กำลังรอวันเน่าสลาย...เท่านั้นเอง

คนแก่บอกว่า...ท่านไม่ต้องห่วง...
เรา...ไม่มีฟันจะกิน...ไม่มีแรงจะปีนป่าย...ไม่มีปัญญาจะขุดเรือ...
เราต้องการเพียงรากผุๆ ใช้หนุนหัวนอน...ก่อนตาย...
เท่านี้...ก็พอใจแล้ว...

ซากต้นไม้ยิ้มทั้งนั้นตา...
ดีใจ...ในที่สุด...เด็กคนนี้ก็มาอยู่กับเขา...
ในบั้นปลายของชีวิต...เมื่อไม่มีที่จะไปแล้ว...
ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ...แต่ต้นไม้ก็มีความสุข....

สุดท้ายนี้ .... ผมในฐานะต้นแอปเปิ้ล สู้ๆนะครับ ต้นแอปเปิ้ลทั่วประเทศ !!


3/4/54

Do you forget something ...?

ในสังคมปัจจุบัน (เริ่มต้นเหมือนการเขียนคำนำวิชาโครงงานวิทยาศาสตร์เลยเนอะ ฮ่าๆ) อะไร คือ สิ่งที่เราให้ความสำคัญมากที่สุดครับ? บางคนคงบอกว่างาน บางคนบอกว่าเรียน (มีมั้ยๆ) บางคนบอกว่าเงิน บางคน บลา บลา บลา.... แต่ในชีวิตที่ทุกคนมีภาระหน้าที่หนักหนาขนาดนี้เนี่ย.... เราลืมอะไรไปรึเปล่าครับ?

ผมเคยอ่านงานเขียนอยู่เรื่องนึง... อ่านแล้วอึ้งครับ ผมไม่ทราบนามผู้แต่งนะครับ แต่ว่าเรื่องนี้เขียนได้ถ่ายทอดเรื่องราว ที่ผมได้กล่าวถึงในข้างต้นได้อย่างดี ผมขออนุญาติ นำมาลงนะครับ...

..............................................

ชายหนุ่มเลิกงานและกลับเข้าบ้านช้า ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า
และพบว่าลูกชายวัย 5 ขวบรอคุณพ่ออยู่ที่หน้าประตู

ลูก "พ่อครับ พ่อผมมีคำถามถามพ่อข้อนึง"
พ่อ "ว่ามาสิลูก,อะไรเหรอ"
ลูก "พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"
พ่อ "ไม่ใช่กงการอะไรของลูกนี่, ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ" พ่อตอบด้วยความโมโห
ลูก "ผมอยากรู้จริง ๆ โปรดบอกผมเถอะ พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"
ลูกพูดร้องขอ
พ่อ "ถ้าจำเป็นจะต้องรู้ละก็ พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ"
ลูก "โอ.." ลูกอุทาน แล้วคอตก พูดกับพ่ออีกครั้ง
ลูก "พ่อครับ ผมอยากขอยืมเงิน 10เหรียญ"
พ่อกล่าวด้วยอารมณ์
พ่อ "นี่เป็นเหตุผลที่แกถาม เพื่อจะขอเงิน แล้วไปซื้อของเล่นโง่ ๆ
หรืออะไรที่ไม่เข้าท่าหรอกเหรอ รีบขึ้นไปนอนเลยนะแล้วลองคิดดูว่าแกน่ะ
เห็นแก่ตัวมาก ชั้นทำงานหนักหลาย ๆ ชั่วโมงทุกวัน และไม่มีเวลาสำหรับเรื่อง
เด็กๆ ไร้สาระอย่างนี้หรอก"

เด็กน้อยเงียบลง เดินไปที่ห้องแล้วปิดประตู ชายหนุ่มนั่งลงและยังโกรธอยู่
กับคำถามของลูกชาย เค้ากล้าที่จะถามคำถามนั้น เพื่อจะขอเงินได้อย่างไร
หลังจากนั้นเกือบชั่วโมงอารมณ์ชายหนุ่มก็เริ่มสงบลง และเริ่มคิดถึงสิ่งที่ทำ
ลงไปกับลูกชายตัวน้อย บางทีเขาอาจจำเป็นต้องใช้เงิน 10 เหรียญนั้นจริง ๆ
และลูกก็ไม่ได้ขอเงินเขาบ่อยนัก ชายหนุ่มจึงเดินขึ้นไปบนห้องแล้วเปิดประตู

พ่อ "หลับหรือยังลูก"
ลูก "ยังครับ"
พ่อ "พ่อมาคิดดู เมื่อกี้พ่ออาจทำรุนแรงกับลูกเกินไป
นานแล้วนะที่พ่อไม่ได้คลุกคลีกับลูก , เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญที่ลูกขอ"
เด็กน้อยลุกขึ้นนั่ง
ลูก "ขอบคุณครับพ่อ"

ว่าแล้วก็ล้วงลงไปใต้หมอนหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา แล้วนับช้า ๆ
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็โกรธขึ้นอีกครั้ง

พ่อ "ก็มีเงินแล้วนี่ แล้วมาขออีกทำไม"
ลูก "เพราะผมมีไม่พอครับ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว

พ่อครับ ตอนนี้ผมมีเงินครบ 20 เหรียญแล้ว

ผมขอซื้อเวลาพ่อชั่วโมงนึง


....พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านเร็ว ๆ นะครับ ผมอยากกินข้าวเย็นกับพ่อ ..."




แล้วเราล่ะครับ ลืมอะไรไปรึเปล่า?





Let's begin !!


สวัสดีครับ ขอบคุณทุกๆคนนะครับ ที่หลงเข้ามาใน Blog ของผม (รู้นะว่าหลงเข้ามา)

เอาล่ะ... ขอแนะนำตัวก่อนละกันนะครับ  ผมชื่อ Khione  จุดประสงค์หลักๆของ Blog นี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ เป็นพื้นที่เล็กๆ ในการเขียนเล่าเรื่องในมุมมองของผม (ใครอยากรู้?) ถ่ายทอดเรื่องราวแนวความคิดบางอย่าง และที่สำคัญที่สุดคือ... มีเพื่อนใหม่ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวความคิด หรือ มุมมองต่างๆ เพราะ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ^^

ถามว่า... ผมเขียนเก่งหรอ เป็นนักเขียนรึป่าว..... ป่าวครับ

ผมเรียนเกี่ยวกับงานเขียนหรอ หรือด้าน สังคม ปรัชญา ศาสนาหรอ.... ป่าวครับ

สนใจงานเขียนหรอ ชอบอ่านหนังสือหรอ.... ป่าวครับ

อ้าว!! อย่าพึ่งทำหน้า งงๆ แล้วคิดในใจว่า แล้วไอ้บ้านี่มันมาทำอะไรของมัน แล้วมันจะเขียนอะไรได้หรอ แล้วมันจะมีคนอ่านหรอ.... ตอบเลยว่า ไม่รู้ครับ!!

ไม่รู้ว่าจะมีคนอ่านมั้ย ... เพราะว่าโดยสถิติแล้วคนไทย  อ่านหนังสือกันเฉลี่ย 2 บรรทัด ต่อปี !! น้อยเนอะ ผมเองก็เป็นอีกคนนึง ที่เวลาเห็น คอลัมน์ยาวๆ ตัวหนังสือเยอะๆแล้วจะเป็นลม ขี้เกียจอ่าน อ่านทิ้งๆขว้างๆ  .... แต่ เรามาลองเปลี่ยนกันมั้ยครับ เรามาลองหาเวลาว่าง ซัก ห้า ถึง สิบนาที แล้วลองมาเริ่มต้นอ่านกันดูมั้ยครับ แล้วผมสัญญาว่า ผมจะเขียนให้สุดความสามารถ ไม่ทำให้ 10 นาทีที่ท่านนั่งอ่าน ต้องเสียเปล่าแน่นอน

เริ่มละนะครับ ... 3....2....1 ลงมืออ่านกันเถอะ!!


Follower ^^